วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

มารู้จักหัวล้าน 7 ชนิดกัน

มารู้จักหัวล้าน 7 ชนิดกัน
...............


                การเรียกขานหัวล้านชนิดต่างๆ ของไทย มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ในยุคใดสมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่คนโบราณได้แบ่งหัวล้านออกเป็น 7 ชนิดด้วยกัน คือ ....
1. ทุ่งหมาหลง

ลักษณะ ... หัวล้านอย่างมาก หัวข้างล่างซ้าย-ขวาจะมีผมเล็กน้อยเหลือไว้พอเป็นคู่บารมีหวี เพื่อเสริมเสน่ห์ดูสง่าราศี หากจะเปรียบไปก็คล้ายทุ่งร้าง แม้นนำตัวอะไรไปปล่อยลงตรงกลางหัวไม่รู้จะไปทิศไหนทางไหนดพราะเตียนโล่ง มีผมก็เฉพาะตรงตีนผมเท่านั้น เขาจึงเรียก “ทุ่งหมาหลง” คือว่าถ้าไอ้ตัวที่ว่าเป็น หมา ก็ต้องหลงทางเพราะหาทางออกไม่ได้

2. ดงช้างข้าม

ลักษณะ ... หัวล้านเป็นทางจากหน้าผากลึกเข้าปถึงท้ายทอย ด้านข้างมีผมเล็กน้อย จัดตกแต่งเป็นรองทรงก็พอได้ หากเปรียบผมเป็นดง รอยหัวล้านก็เหมือนกับทางเดินของช้าง ตรงกลางเตียนโล่ง แต่ข้างๆ พอเห็นแนวทางบางๆ พบเห็นได้ทั่วไปจากคนวัย 40 ขึ้น ถ้าพบเห็นแล้วเวลาพูดคุยต้องระวังคำพูดคำจาก็จะดีหน่อย เนื่องจาก “ดงช้างข้าม” มีอารมณ์อ่อนไหวมาก แม้ในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็จะเป็นเรื่องได้โดยง่าย

3. ง่ามเทโพ

ลักษณะ ... คือ หัวเถิกเข้าไปสองข้างขมับ มีผมอยู่ตรงกลางเหนือกระหม่อมไปจนถึงด้านหลัง ด้านหน้าล้านลึกเข้าไปสองข้างเป็นง่ามถ่อ จะเรียกว่าหัวเถิกก็ไม่ผิด มีผมรอบศรีษะ เป็นตระกูลที่พบเห็นบ่อยมากรูปทรงหวีเสยได้ นานๆ ไปก็พัฒนากลายเป็นตระกูลทุ่งหมาหลงเป็นแน่แท้ สำหรับตระกูล “ง่ามเทโพ” นี้ เวลาขรึมก็ขรึมเอาการอยู่ ดุก็ดุอย่างร้ายกาจ ห่างๆ ไว้ได้ก็ดี

4. ชะโดตีแปลง

ลักษณะ ... คือ ล้านที่เป็นวงกลางกบาล มีผมขึ้นโดยรอบทั้งซ้าย-ขวา หน้า-หลังเหมือนปลา ชะโดตีแปลง จนทำกระเซ็นไปรอบทิศทาง ล้านแบบนี้มองด้านบนจะเห็นได้ชัดเจน โดยด้านหน้าและด้านหลังล้าน มีผมกลางศีรษะเพียงเส้นบางๆ เล็กน้อย และที่ท้ายทอยมีเป็นกระจุกก้นครัว ดูแล้วเก๋ไปอีกแบบ ตระกูลนี้มีอารมณ์แจมใสดีเสมอ และที่หน้าแปลกก็คือ มีความใจดีเป็นเสนห์เหมาะแก่การคบหาสมาคม

5. แร้งกระพือปีก

ลักษณะ ... คือ ล้านเถิกลึกเข้าไปสองข้างขมับ จะลึกเข้าไปโอบกระหม่อมไปต่อกันด้านหลัง เหลือผมอยู่เพียงกระจุกเดียวด้านหน้าเหมือนโดนปีกกระพือมารวมกันไว้ เพราะด้านหน้าลึกลงไปถึงหลัง มีผมคล้ายปีกแร้งอยู่สองข้าง จึงเรียกว่า “แร้งกระพือปีก” ภาพลักษณ์นี้เห็นได้ในภาพยนตร์สมัยเก่าๆ เล่นบทเป็นกำนันกัดปลา-ชนไก่ อะไรทำนองนั้น มีลักษณะเป็นคนร่ำรวยว่างั้นเถอะ

6. ฉีกขวานฟาด

ลักษณะ ... ด้านหน้าและด้านบนศีรษะล้าน เหลือแต่ผมด้านข้างและด้านหลัง ล้านแบบนี้เรียกว่าล้านไม่เลื่อมยังมีผมบางๆ อยู่ อุปมาเหมือนถูกด้าม ขวานฟาด ลงกลางหัว ลักษณะตระกูลนี้เปรียบได้ดังสมภารแก่ๆ มีราศี ญาติโยมศรัทธากราบไหว้สนิทใจ อุปนิสัยออกจะเป็นคนดี แต่อย่าไปเป่าเสกเลขยันต์แล้วกันความเป็นสมภารจะเสื่อมคลาย วงการศาสนาจะมัวหมองเปล่าๆ สิงนี้เป็นทางอโคจร

7. ราชคลึงเครา

ลักษณะ ... ล้านหมดทั้งศีรษะเหลือแต่ข้างๆ ยาวลงมารับกับหนวดเครา เรียกว่าล้านหมดทั้งกบาล เพียงแต่ไอ้ส่วนที่เหลือตรงท้ายทอยย้อยลงมารับกับหนวดและเคราที่รกรุงรังเท่านั้นเอง จึงเรียกล้านนี้ว่า “ราชคลึงเครา” ลักษณะตระกูลนี้มีให้เห็นน้อยมาก มักจะเป็นคนที่มีฐานะซะด้วย อุปนิสัยเจ้าชู้มากเล่ห์ มากเมียจนน่าอิจฉา จัดว่าเป็นจอมยุทธคนหัวล้านเปรียบประหนึ่ง “น้องๆ ขุนช้าง” เป็นคนปากหวานยิ่งนัก สังเกตได้จากพวกแขกโพกหัวขายผ้าแถวพาหุรัด

ที่มา : หนังสือ ทะลึ่ง
เรียบเรียงโดย : รู้ไว้ซะ
เพจFacebook

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

นักวิทยาศาสตร์สามารถ "ดาวน์โหลดความรู้ใส่สมองเราได้แล้ว"

นักวิทยาศาสตร์สามารถ "ดาวน์โหลดความรู้ใส่สมองเราได้แล้ว"


      นักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบการป้อนความรู้เข้าสมองได้โดยตรง
นักวิจัยจาก  HRL Laboratories บอกเราว่าพวกเขาค้นพบวิธีการเอาความรู้เข้าสมองโดยตรงแล้วนะ แต่มันก็ไม่ได้เหมือนในหนังที่เราดู ๆ กันซะทีเดียว เพราะมันมีสเกลการทำงานที่เล็กกว่ากันมาก

ความมานะพยายามครั้งนี้เริ่มมาจากการที่พวกเขาเริ่มศึกษาสัญญานไฟฟ้าในสมองของนักบินฝึกหัด และขั้นตอนสุดตื่นเต้นคือแทนที่พวกเขาจะให้บรรดานักบินฝึกหัดเหล่านี้เรียนตามปกติ แล้วก็ฝึกกับโปรแกรมฝึกบินจำลอง พวกเขาป้อนความรู้วิชาการบินเบื้องต้นผ่านหมวกไฟ้ฟ้าเข้าไปในสมองโดยตรงซะเลย
ผลที่ออกมาน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเพราะนักบินฝึกหัดเหล่านี้สามารถพัฒนาความสามารถในการบิน และเรียนรู้ได้ดีกว่านักบินกลุ่มที่ไม่ได้รับการป้อนข้อมูลถึง 33%
ดร. Matthew Phillips หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมของการวิจัยครั้งนี้บอกอีกว่า "แหม ถึงมันจะดูเหมือนนัง sci-fi ไปหน่อย แต่นี่คือพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาระบบสมองของเรา"


    คำตอบที่ทุกคนลุ้นให้ ดร. Phillips  พูดออกมาที่สุดและเขาก็พูดจริง ๆ คือเขาเชื่อว่าการกระตุ้นสมองแบบนี้สามารถเอามาใช้กับการเรียนรู้หลาย ๆ อย่างได้ ทั้งการขับรถ การเรียนภาษา ที่สำคัญการเตรียมมตัวสอบ

วิธีการป้อนความรู้สู่สมองก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เริ่มจากการทาเจลใส ๆ เพื่อเป็นสื่อนำไฟฟ้าไว้ที่หัว แล้วก็สวมหมวกไฟฟ้าลงไป โดยผลจากการกระตุ้นนี้ข้อมูลก็จะอยู่กับเราไปหลายชั่วโมง แต่มันก็ไม่ต่างจากการเรียนรู้ปกติที่ถ้าไม่ทำซ้ำมันก็จะเลือน ๆ ไป ถ้าอยากให้สิ่งที่ถูกกระตุ้นอยู่คงทนเป็นวัน หรือหลายสัปดาห์ก็จำเป็นต้องทำซ้ำบ่อย ๆ
ยังไม่จบเท่านั้น แม้ในความรู้สึกเรานี้จะดูเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่นักวิจัยบอกว่าสมองส่วนที่ใช้ในการเรียนรู้ของเราทั้งเรื่องการจดจำ การพูดมันมีส่วนเฉพาะ แถมเป็นส่วนที่เล็กประมาณนิ้วก้อยเราเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาทำจึงเป็นเพียงการกระตุ้นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างลงไปในสมองส่วนการเรียนรู้เล็ก ๆ แค่นั้น
อย่างไรก็ตาม ดร.Phillips ก็บอกว่านี่ไม่ใช่แนวความคิดใหม่อะไรหรอกนะ 4,000 ปีก่อนในยุคอียิปต์โบราณ ก็มีการใช้ไฟฟ้าเพื่อการกระตุ้นหรือลดความเจ็บปวดอยู่แล้ว 
ถ้าใครสนใจอ่านเพิ่มเติมงานวิจัยก็ตีพิมพ์อยู่ใน Human Neuroscience ได้


ที่มา http://minimore.com/f/let-s-download-knowledge-to-your-brain-715
เรียบเรียงโดย : รู้ไว้ซะ
เพจFacebook

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โรคกลัว (Phobia) มนุษย์กลัวอะไรแปลกๆกันบ้าง?

รู้ว้


โรคกลัว (Phobia) มนุษย์กลัวอะไรแปลกๆกันบ้าง?


Fear vs. Phobia [ Fear = ความกลัว vs Phobia = โรคกลัว ]
ความกลัว กับ โรคกลัวต่างกันอย่างไร
ความกลัวจะป้องกันเราจากอันตราย แต่โรคกลัวนั้นไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับภัยอันตรายสักเท่าไหร่ คนอเมริกันกว่า 19 ล้านคนเป็นโรคกลัวอะไรสักอย่างหนึ่ง โรคกลัวหรือ phobia คืออาการกลัวขั้นรุนแรง หรืออาการกลัวที่ก่อให้เกิดความรำคาญซึ่งจะเกิดจากสถาการณ์ กิจกรรมหรือวัตถุบางอย่างก็ได้ คนที่เป็นโรคกลัวอาจจะรู้ว่าความกลัวหรือความกังวลใจนั้นไม่มีเหตุผล แต่ก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้เช่นกัน ความรู้สึกกลัวนั้นอาจจะรุนแรงมากจนทำให้คุณเป็นอัมภาตได้เลย มาดูกันว่าคนเรากลัวอะไรกันบ้าง
โรคกลัวมี 3 ประเภท
มีโรคกลัวอะไรต่างๆมากมายกว่าหลายร้อยชนิดที่ได้รับการพิสูจน์แล้วซึ่งในจำนวนนี้รวมไปถึง Phobophobia หรือ ความกลัวโรคกลัว แต่เวลาพูดถึงโรคกลัวทั้งหลาย บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะแบ่งโรคกลัวเป็น 3 ประเภท คือ
Agoraphobia = ความวิตกกังวลอย่างหนักในที่สาธารณะที่ทำให้การหลบหนีเป็นไปได้ยาก
Social phobia = ความกลัวและการหลบหลีกสถานการณ์ทางสังคม
Specific phobia = ความกลัวจากวัตถุหรือสถานการณ์บางอย่าง

Agoraphobia : โรคกลัวสถานที่สาธารณะ
คำว่า agora คือตลาดหรือสถานที่พบปะกันในภาษากรีกโบราณ บางคนที่เป็นโรคกลัวชนิดนี้จะกลัวการติดอยู่ในสถานที่สาธารณะ หรือสถานที่อย่างเช่น สะพาน หรือคิวต่อแถวที่ธนาคาร ความกลัวที่แท้จริงของโรคกลัวประเภทนี้คือการที่กลัวว่าจะไม่สามารถที่จะหลบหนีออกไปจากสถานที่นั้นๆ ได้เมื่อเกิดความวิตกกังวลอย่างรุนแรง ผู้หญิงเป็น  Agoraphobia มากกว่าผู้ชายถึงสองเท่าและถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจจะออกจากบ้านไม่ได้อีกเลย 9 ใน10 คนที่ได้รับการรักษาจะมีอาการดีขึ้น

Social Phobia : ความกลัวที่มากกว่าความขี้อาย
คนที่เป็น social phobia หรือโรคกลัวการเข้าสังคมนั้นไม่ใช่แค่ความขี้อายแต่มีความวิตกกังวลและความกลัวอย่างหนักว่าตนเองจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆทางสังคม การกระทำของฉันจะดูเหมาะสมมั้ยนะ? คนอื่นจะรู้มั้ยนะว่าฉันรู้สึกกังวลอยู่? ฉันจะนึกออกมั้ยว่าจะต้องพูดอะไรเมื่อถึงเวลานั้น? เนื่องจากว่าโรคกลัวการเข้าสังคมมักจะนำไปสู่การหลีกเลี่ยงการติดต่อทางสังคมจึงทำให้โรคกลัวประเภทนี้มีผลกระทบด้านลบที่รุนแรงต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่นและชีวิตในการทำงานของผู้ป่วยอย่างมาก

Claustrophobia : ฉันต้องการทางออก
Claustrophobia หรือโรคกลัวที่เกิดจากความความกลัวเวลาอยู่ในพื้นที่ปิดเป็นโรคกลัวแบบเฉพาะ (specific phobia) ที่พบได้บ่อย คนที่เป็นโรคนี้จะไม่สามารถขึ้นลิฟท์หรือเข้าอุโมงค์ได้โดยปราศจากความวิตกกังวลอย่างหนั ก เพราะผู้ป่วยกลัวความอึดอัดและการติดอยู่ในที่ที่ทำให้ออกไปไหนไม่ได้ผู้ที่เป็นโรคนี้จะหลีกเลี่ยงพื้นที่คับแคบ และมักจะมี "พฤติกรรมมองหาความปลอดภัย" เช่น เปิดหน้าต่าง หรือนั่งใกล้ทางออก พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้สถานการณ์นั้นพอทนได้ แต่ก็ไม่ได้บรรเทาความกลัวลง

Zoophobia : กลัวสัตว์ป่านานาชนิด
เป็นโรคกลัวชนิด specific phobia ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ zoophobia หรือโรคกลัวสัตว์ต่างๆ  คำว่า zoophobia จริงๆแล้วเป็นชื่อเรียกแบบรวมๆ ที่รวมโรคกลัวสัตว์หลายๆ ชนิดเอาไว้ด้วยกัน ตัวอย่างเช่น  arachnophobia กลัวแมงมุม  ophidiophobia กลัวงู ornithophobia กลัวนก และ apiphobia กลัวผึ้ง เป็นต้น โรคกลัวสัตว์ต่างๆ ที่ว่ามานี้มักจะเกิดขึ้นในวัยเด็กและบางครั้งก็หายไปเมื่อโตขึ้น แต่บางทีโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่หาย

Brontophobia : กลัวฟ้าร้อง
Bronte ในภาษากรีกแปลว่า ฟ้าร้อง และ brontophobia แปลว่า การกลัวฟ้าร้อง ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะรู้ว่าฟ้าร้องทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธที่จะออกไปข้างนอกตอนที่ฝนตกฟ้าคะนอง ผู้ป่วยอาจจะถึงขั้นหลบอยู่ในบ้านโดยการหมอบอยู่หลังโซฟาหรือหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า โรคกลัวทั้งฟ้าแลบฟ้าร้องจะเรียกว่า astraphobia ซึ่งเป็นความกลัวที่เกิดทั้งในคนและสัตว์อีกด้วย

Acrophobia : กลัวความสูง
Acrophobia คือการกลัวความสูงอย่างหนัก คนที่เป็นโรคนี้อาจถูกความกลัวโจมตีเพียงแค่จากการเดินขึ้นบันไดหรือไต่บันไดเท่านั้น บางครั้งความกลัวก็มีมากจนทำให้ขยับตัวไม่ได้เลย  Acrophobia ทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในอันตราย เมื่อความวิตกกังวลเข้าจู่โจมอาจทำให้ผู้ป่วยพาตัวเองออกมาจากสถานที่ที่สูง ที่เป็นสาเหตุนั้นด้วยความยากลำบากอย่างมาก

Aerophobia: กลัวการบิน
คนที่เป็นโรค aerophobia คือคนที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน โดยปกติแล้วโรคนี้จะเกิดหลังจากเกิดประสบการณ์อันเลวร้ายเกี่ยวกับเครื่องบิน เช่น ความปั่นป่วนทางอากาศ หรือพบเห็นผู้โดยสารคนอื่นอยู่ในอาการตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆจะถูกลืมไปแล้ว แต่ความกลัวนั้นยังคงอยู่และจะถูกกระตุ้นขึ้นมาโดยการดูหนังที่มีฉากอุบัติเหตุทางเคื่องบิน ส่วนการบำบัดโรคนี้จะบำบัดด้วยการสะกดจิต hypnotherapy โดยมักจะใช้ในการตรวจขั้นแรกและรักษาโรคนี้

Blood-Injection-Injury Phobias
เป็นโรคกลัวเกี่ยวกับเลือด การฉีดยา และการบาดเจ็บอยู่ซึ่งประกอบไปด้วย  hemophobia (กลัวเลือด)trypanophobia (กลัวการฉีดยา) บางคนเป็นโรคกลัวการได้รับบาดเจ็บ และบางคนก็เป็นโรคกลัวการรักษาทางการแพทย์ที่จะต้องใส่อะไรเข้าไปในร่างกาย ผู้ป่วยที่มีโรคกลัวเหล่านี้มักจะมีอาการเป็นลมเป็นส่วนใหญ่

กลัวเรื่องเหนือธรรมชาติ
Triskaidekaphobia คือโรคกลัวอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเลขอาถรรพ์ เช่น 13 ถ้าความคิดเรื่องผีๆทำให้คุณวิตกกังวลจนเกินไปคุณอาจจะเป็นโรค phasmophobia และถ้าถึงแม้ว่าแวมไพร์จะไม่มีจริงแต่บางคนก็ยังกลัวค้างคาวอยู่ก็แสดงว่าพวกเขาเป็นโรค chiroptophobia

Emetophobia
Emetophobia คือโรคกลัวการอาเจียนซึ่งมักจะเกิดในช่วงแรกของชีวิตจากประสบการณ์อันเลวร้ายบางอย่าง เช่น คนที่พบเห็นเพื่อนที่โรงเรียนอาเจียนในที่สาธารณะหรืออาจจะเคยเป็นคนอาเจียนเอง ความวิตกกังวลอาจจะถูกกระตุ้นจากการคิดถึงการอาเจียน หรือ คิดถึงสถานที่เช่น โรงพยาบาลซึ่งการอาเจียนจะพบได้บ่อย เช่นเดียวกันกับ aerophobia ที่จะใช้สะกดจิต hypnotherapy ในการรักษา

Carcinophobia : กลัวมะเร็ง
คนที่เป็น carcinophobia หรือ  cancerophobia มีชีวิตอยู่กับความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลว่าตัวเองจะเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะอาการเจ็บปวดทางร่างกายตรงไหนก็จะถูกโยงให้เป็นสัญญาณว่ามีเนื้อร้ายกำลังเติบโตอยู่ในร่างกายไปเสียหมด เช่น อาการปวดหัวก็จะกลายเป็นสัญญาณว่ามีเนื้อร้ายในสมอง จะรักษาโดย Cognitive therapy เป็นการรักษาที่จะทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคกลัวมะเร็งกลับมามีชีวิตปกติได้อีกครั้ง

ความกลัวอื่นๆ
คนที่กลัวอะไรก็ตามที่แปลกใหม่แสดงว่าเป็นโรค neophobia และคนที่กลัวการแก่ หรือกลัวคนแก่แสดงว่าเป็นโรค gerontophobia บางคนอาจจะเป็นโรค phartophobia หรือโรคกลัวการผายลมในที่สาธารณะ คนที่เป็นโรค odontiatophobia จะทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงการไปหาหมอฟัน และ spargarophobic คือการกลัวหน่อไม้ฝรั่ง

ผลกระทบต่อชีวิตที่มาจากโรคกลัว
โรคกลัวทำให้คนเปลี่ยนการใช้ชีวิตเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตัวเองกลัว แต่ชีวิตของพวกเขายังได้รับผลกระทบจากความพยายามที่จะปกปิดความกลัวไม่ให้คนอื่นเห็นอีกด้วย บางคนที่เป็นโรคกลัวนั้นมีปัญหากับเพื่อน คนในครอบครัว ล้มเหลวทางการศึกษาและหน้าที่การงานในขณะที่พยายามจะจัดการกับโรคกลัวนี้

โรคกลัวและแอลกอฮอล์
ผู้ที่ติดเหล้านั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคกลัวมากกว่าคนทั่วไปถึง 10 เท่า และคนที่เป็นโรคกลัวก็มีแนวโน้มที่จะติดเหล้ามากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคกลัวถึง 2 เท่า

เกี่ยวข้องกับครอบครัว
ถึงแม้ว่าโรคกลัวนี้อาจจะได้รับผลกระทบโดยวัฒนธรรม และถูกกระตุ้นโดนประสบการณ์ชีวิตต่างๆ แต่โรคพวกนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นกรรมพันธุ์มาจากคนในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวที่สืบเชื้อสายโดยตรงของคนที่เป็นโรคกลัวนั้นมีความเสี่ยง 3 เท่าที่จะเป็นโรคกลัวมากกว่าคนที่ครอบครัวไม่มีประวัติการเป็นโรคนี้มาก่อน

Treating Phobias
การรักษาโรคกลัว
การลดความรู้สึกเป็นขั้นตอนในการค่อยๆให้ผู้ป่วยโรคกลัวเผชิญกับสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไปความกลัวจะลดน้อยลงเมื่อผู้ป่วยสร้างความมั่นใจได้มากขึ้น การรักษาด้วยวิธีนี้มักทำควบคู่ไปกับการพูดคุยบำบัดที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนมุมมอง และพัฒนารูปแบบการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ที่เกียวกับโรคกลัว ข่าวดีก็คือการรักษาสามารถช่วยผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาถึง 90%

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Phobia

1 ใน 6 ของคนอเมริกันเป็นโรคกลัวเครื่องบิน
Aviophobia หรือโรคกลัวการบินนั้นพบได้บ่อยมาก แม้แต่การเห็นลูกเรือก็อาจจะทำให้มีอาการได้ ในความเป็นจริงแล้วการกลัวการบินเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สายการบินและเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศถูกกักตัว บางคนถูกก่อกวนด้วยการบินที่ติดขัดหรือการบินในสภาพอากาศที่ไม่ดี ผู้ป่วยอาจจะกลัวการตกอยู่ในอาการตื่นตระหนัก หรือรู้สึกวิตกในที่แคบ บางคนก็กลัวว่าจะเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบนตก

Clown phobias มีจริง
ถ้าคุณตกใจกับการเห็นคนทำลูกโป่งรูปสัตว์ที่แต่งหน้าสีขาวและสวมวิกสีแดง คุณไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวเพราะCoulrophobia โรคกลัวตัวตลกไม่ใช่เรื่องน่าขันสักเท่าไหร่
เด็กๆที่กลัวการปิดไฟนอนไม่ถือว่าเป็นโรคกลัว
ไม่ต้องคิดมากถ้าเด็กๆกลัวความมืดหรือกลัวว่าจะมีสัตว์ประหลาดแอบซ่อนตัวอยุ่ใต้เตียงเพราะว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเด็กเป็นโรค nyctophobia หรือโรคกลัวความมืด เด็กส่วนมากจะเลิกกลัวไปเองเมื่อโตขึ้น
โรคกลัวคือความกลัวอย่างหนักจนส่งผลกระทบต่อชีวิตซึ่งโรคกลัวจะส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาตอบสนองทั้งทางอารมณ์และทางร่างกาย คนที่เป็นโรคกลัวจะรู้ตัวว่าตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุงแรง
 
โรคกลัวบางอย่างทำให้ตัวเลือกแซนวิชลดลง
ถ้าคุณเป็นโรค arachibutyrophobia หมายความว่าคุณเป็นโรคกลัวเนยถั่ว บางคนกลัวว่าเนยถั่วจะติดอยู่ที่เพดานปาก! อย่างไรก็ตามเนยถั่วไม่ใช่ของกินอย่างเดียวที่คนกลัว เช่น pargarophobia คือโรคกลัวหน่อไม้ฝรั่ง

มหาเศรษฐี Howard Hughes ใส่กล่องทิชชู่ไว้ใต้เท้าเพราะว่าเป็นโรคกลัวเชื้อโรค
ในบั้นปลายของชีวิต Howard Hughes กลัวเชื้อโรคมากจนกระทั่งเผาเสื้อผ้าตัวเองถ้าคนใกล้ตัวไม่สบาย และใส่กล่องทิชชู่ไว้ที่เท้า
โรค mysophobia ที่เขาเป็นคือโรคกลัวเชื้อโรคอย่างหนัก อาจจะเริ่มจากสมัยที่ยังเป็นเด็กเมื่อแม่ของเขาชอบมาเช็คตลอดว่าเขาเป็นโรคอะไรรึเปล่า--
คุณอาจจะเป็นโรคกลัวถ้าคุณกลัวโทรศัพท์หาย
ถ้าความคิดที่ว่าโทรศัพท์มือถือของคุณหายทำให้คุณหวาดวิตก คุณอาจจะเป็น nomophobia (no-mobile phone phobia)
ถึงแม้ว่ากลุ่มทางการแพทย์ชั้นนำจะยังไม่รวมโรคนี้เข้าไปในลิสต์ของโรคกลัวอย่างเป็นทางการแต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าคนเราติดโทรศัพท์มือถือมาก งานวิจัยเล็กๆชิ้นหนึ่งพบว่า 73% ของเด็กนักเรียนถึงกับนอนกับโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว
โรคกลัวมักจะเริ่มจากตอนเป็นเด็ก
โรคกลัวสามารถเกิดได้จากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนอารมณ์ในวัยเด็ก บางคนที่กลัวนกอาจจะเป็นเพราะว่าตกใจกลัวนกที่บินเข้ามาในบ้านตอนเด็กๆ แต่จริงๆแล้วสาเหตุของโรคกลัวมักจะไม่แน่ชัดแต่โรคกลัวมักจะเกิดในครอบครัวที่มีคนเป็นโรคนี้

คุณอาจจะเป็นโรคกลัวว่าจะเป็นโรคกลัว
ถ้าคุณกลัวว่าจะเป็นโรคกลัว คุณอาจจะเป็นโรค phobophobia ยังมีโรคกลัวแปลกๆอื่นๆอีก เช่น
Amathophobia = กลัวฝุ่น
Peladophobia = กลัวคนหัวล้าน
Phartophobia = กลัวการผายลมในที่สาธารณะ

คำว่า phobia มาจากภาษากรีกที่แปลว่า การหนี ความหวาดกลัว และการหายใจไม่ออกเพราะถูกบีบคอ

อย่ารักษาโรคกลัวด้วยการเผชิญหน้า
การเผชิญหน้ากับโรคกลัวจะยิ่งทำให้แย่ลง นักบำบัดแนะนำให้ผู้ป่วยค่อยๆเผชิญกับความกลัวทีละน้อย
เช่น คนที่กลัวการนั่งเครื่องบิน ขั้นแรกอาจจะให้ดูรูปของเครื่องบินก่อน จากนั้นให้ดูวิดีโอก่อนที่จะไปสนามบินเพื่อดูเครื่องบินเทคออฟ ในที่สุดถึงจะให้นั่งเครื่องบินได้
วิธีการรักษาโรคกลัวนอกเหนือไปจากวิธีข้างต้นแล้ว คือการให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมด้านลบ


ที่มา : pantip.com จากคุณ : Kypsan
 เรียบเรียงโดย : รู้ไว้ซะ
เพจFacebook
ช่องYOUTUBE


วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทางหรือแถบสีขาวบนท้องฟ้าหลังเครื่องบินบินผ่านนั้นมันคืออะไร?

รู้ว้


“ทางหรือแถบสีขาวบนท้องฟ้าหลังเครื่องบินบินผ่านนั้นมันคืออะไร?


      เราๆท่านๆทั้งหลายคงจะเคยเห็นแถบสีขาวบนท้องฟ้าที่เป็นทางยาวบ้างสั้นบ้างเมื่อเครื่องบินบินผ่านใช่มั้ยครับ หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร บทความฉบับจะมาเฉลยข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่ามันคืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร ...............


      ทางหรือแถบสีขาวที่เห็นบนท้องฟ้าเมื่อมีเครื่องบินบินผ่านนั้นมันก็คือเมฆชนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่เมฆจริงๆ ที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น มันมีชื่อเรียกว่า “คอลเทรล (Contrail) ซึ่งเป็นคำเรียกสั้นๆ ที่มาจากคำเต็มคือ “Condensation Trail หมายถึง รอยทางที่เกิดจากการควบแน่น” หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้คือ “หลักการควบแน่น” เช่นเดียวกับการเกิดเมฆนั่นแหละ ขบวนการก็คือเครื่องยนต์ของเครื่องบินจะผลิตไอเสียออกมาเช่นเดียวกัยเครื่อยนต์ของรถ เมื่อเกิดการเผาไหม้ก็จะได้ก๊าซไอเสีย โดยปกติแล้วเครื่องบินจะปล่อยไอน้ำปะปนออกมาด้วย เมื่อมันถูกปล่อยออกมาจากเครื่องบินไอน้ำก็จะออกมากระทบกับอากาศด้วย ทั้งนี้เมื่อบินในความสูงตั้งแต่ระดับ 26,000 ฟุตขึ้นไป อากาศรอบๆ บริเวณนั้นจะเย็นจัด โดยอาจจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็งที่ประมาณ –30 ถึง -40 องศาเซลเซียส อากาศเย็นๆ นี่เอง ที่ทำให้ไอน้ำจากไอเสียเกิดการควบแน่นขึ้น นั่นก็หมายความว่าไอน้ำก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำที่มีขนาดเล็กมากๆ หรือบางที่อาจแข็งตัวจนกลายเป็นผลึกน้ำแข็งเลย และนี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้เราเห็น “คอลเทรล” หรือ “เมฆเทียม” เป็นรอยทางยาวนั่นเอง ส่วนมันจะปรากฏอยู่นานเท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับระดับความสูงของการบินเพราะว่า มันจะสัมพันธ์กับอากาศรอบๆ ถ้ายิ่งสูงอุณหภูมิยิ่งเย็นเจ้า “คอลเทรล” ก็จะยิ่งสลายตัวได้ช้ากว่าปกตินั่นเอง ....


      และมันมีอีกรูปแบบหนึ่งอาจจะแค่คล้ายๆกัน อย่างตามงานโชว์การบินต่างๆ ที่เครื่องบินพ่นไอน้ำออกมาแล้วทำเป็นรูปตัวอักษรหรือรูปแบบอื่นๆ ก็จะใช้หลักการเดียวกันแต่แค่คล้ายๆ คือเค้าจะเติม “น้ำมันพาราฟิน” เข้าไปในระบบท่อไอเสียด้วย นั่นจะทำให้กลุ่มควันที่ออกมานั้นจับตัวได้ดีขึ้นก็จะช่วยให้เห็นได้ชัดขึ้นนั่นเอง ....
            เท่านี้เราก็รู้แล้วว่าไอ้เส้นขาวๆ บนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นหลังเครื่องบินบินผ่านคืออะไร และสามารถติดตามบทความและความรู้ต่างๆเพิ่มเติมได้ที่ Facebookแฟนเพจ “รู้ไว้ซะ” อีกทางนึงด้วยครับ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ........

ที่มา : รายการ Did You Know…? คุณรู้หรือไม่
เรียบเรียงโดย : รู้ไว้ซะ
เพจFacebook
ช่องYOUTUBE

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทำไมพอกุ้งสุกแล้วจึงกลายเป็นสีส้ม

รู้ว้


“ทำไมพอกุ้งสุกแล้วจึงกลายเป็นสีส้ม


      เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมกุ้งพอทำให้สุกแล้วจึงกลายเป็นสีส้ม วันนี้เราจะมาเฉลยกันจ้า .......
  โดยปกติแล้วกุ้งตอนยังสดหรือยังไม่สุกจะมีสีเขียวหรือเทาแล้วทำไมกันน้าเวลาทำให้สุกแล้วจึงกลายเป็นสีแดงหรือสีส้ม มันคือการเปลี่ยนแปลงทางชีวะเคมีของเปลือกกุ้งและเปลือกปูเมื่อโดนความร้อน กุ้งและปูส่วนมากจะมีสารสร้างเม็ดสีชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่พบได้ในธรรมชาติ แคโรทีนอยด์ที่อยู่ในเปลือกกุ้งและปูยังสามารถพบได้ในมะเขือเทศ ข้าวโพด และแครอทอีกด้วย และเป็นสารที่ทำให้พืชผักเหล่านี้มีสีเหลืองและส้มนั่นเอง

 
      แต่ทำไมพืชผักเหล่านี้ยังมีสีสดทั้งตอนสดและตอนสุกไม่เหมือนกุ้งและปูล่ะ ก็เพราะสารสร้างเม็ดสีของสัตว์น้ำที่มีกระดองจะถูกปกคลุมไว้อย่างหนาแน่นโดยโปรตีนขนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “ครัสต์ไซยานิน (Crustacyanin)” ซึ่งสารตัวนี้แหละที่ทำให้มันไมสามารถปลดปล่อยสีแดง สีเหลือง และสีส้มออกมาได้ พละกำลังของเจ้า ครัสต์ไซยานิน นี้แข็งแรงมากถึงขนาดที่ว่าในบางครั้งมันสามารถเปลี่ยนสีเทาของเปลือกกุ้งหรือว่ากระดองปูให้เป็นสีเขียวไปเลยซึ่งเราจะเห็นได้บ่อยในกุ้งหรือปูบางตัว แต่เมื่อไหร่ที่กระดองปูหรือกุ้งโดนความร้อนสูงระดับน้ำเดือดก็จะทำให้โปรตีน ครัสตไซยานิน อ่อนกำลังลงและปลดปล่อยให้สารสร้างเม็ดสีได้เป็นอิสระ สีดั้งเดิมคือ สีแดง สีส้ม และสีเหลือง ของกุ้งและปูก็ถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นนั่นเอง นอกจากสารสร้างเม็ดสีจะพบได้ในพืชและเปลือกของกุ้งและปูแล้วยังสามารถพบได้ในเนื้อปลาแซลมอนอีกด้วย ซึ่งพอทำให้สุกแล้วเนื้อปลาแซลมอนก็จะออกสีส้มๆแดงๆ ที่ทำให้ดูน่ากินนั่นเอง

        เท่านี้เราก็รู้แล้วว่าทำไมกุ้งและปูตอนสุกแล้วถึงเป็นสีส้ม และสามารถติดตามบทความและความรู้ต่างๆเพิ่มเติมได้ที่ Facebookแฟนเพจ “รู้ไว้ซะ” อีกทางนึงด้วยครับ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ........


ที่มา : รายการ Did You Know…? คุณรู้หรือไม่
เรียบเรียงโดย : รู้ไว้ซะ
เพจFacebook
ช่องYOUTUBE