อาศัยฟ้าแทนมุ้ง
อาศัยโรงแรมแทนบ้าน
อาศัยร้านอาหารแทนครัว
อาศัยโสเภณีแทนเมีย
และนี่คือตี๋ใหญ่......
ใครจะไปรู้ว่า................การจากไปของตี๋ใหญ่ครั้งนั้นจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เขาเป็นจอมโจร!!!
ตี๋ใหญ่เดินทางล่องมาจากดำเนินสะดวก
มาที่ตลาดจำหน่ายผลไม้ฝั่งมหานาคและฝั่งตลาดผดุงเกษม
แหล่งส่งผลไม้ใหญ่ในกรุงเทพฯสมัยนั้น โดยนอกจากขนส่งแตงโมแล้ว
ตี๋ใหญ่ทำอาชีพเสริม
เป็นคนเข็นรถเหล็กติดล้อขนผลไม้หลายชนิดจากในตลาดไปส่งที่รถรับซื้อผลไม้ไปมาอีกด้วย
ตี๋ใหญ่มั่นใจว่างานรับจ้างนี้เขาน่าจะทำได้
แม้จะไม่ทำงานเป็นอาชีพประจำ แต่ก็ได้เงินมากพอดีละมีเงินมากพอที่จะไปเที่ยว อาจเป็นเพราะความหลงใหล
บวกกับความตื่นเต้นในความงามของกรุงเทพที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต....เมื่อเขามาที่นี่แต่ละครั้ง......แต่ละคืน
หลังจากทำงานตอนกลางวัน เขาจะไม่ลืมที่จะไปเที่ยวยามค่ำคืนด้วย
ในสมัย
30-40 กว่าปีก่อนแหล่งบันเทิงของเมืองหลวง ที่ขึ้นชื่อที่สุดตอนนั้นคือ
ย่านบางขุนพรหม และย่ามวิสุทธิกษัตริย์ ที่นั้นเต็มไปด้วย ไนต์คลับ ร้านอาหาร
และซ่องโสเภณี
แน่นอนตีใหญ่ก็
“ขึ้นครู” จนติดใจ
และเริ่มเป็นลูกค้าประจำที่ซ่องโสเภณีเกือบทุกคืน ตี๋ใหญ่ใช้วิธีเดินทางจากที่จอดเรือที่คลองมหานาค
(ย่านสะพานขาวในปัจจุบัน) ลัดเลาะมาเที่ยวที่ย่านบางขุนพรหมแทบทุกคืน
เพื่อนที่ร่วมเที่ยวในสมัยนั้นกับเขาหลายคนให้การ (ภายหลังกับเจ้าหน้าที่) ว่า
เวลาที่ตี๋ใหญ่ไปเที่ยวแต่ละครั้ง
ก็มักมีเรื่องมีราวกระทบกระทั้งแทบทุกครั้งกับนักเลงเจ้าถิ่นแทบทุกครั้ง หลายคนสู้
หลายคนตะลุมบอน......ได้เลือดได้แผลกันทั่วหน้า ส่วนตี๋ใหญ่นั้นในระยะแรก
เขาเอาแต่วิ่งหนี เพราะเขาเป็นคนไม่สู้คน
แต่ในที่สุด...ชีวิตตี๋ใหญ่ก็มาถึงจุดเปลี่ยน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถูกกลุ่มนักเลงเจ้าถิ่นย่านเทเวศร์รุมอัดจนยับเยิน
เพราะจนตรอกหนีไม่ทัน จนถึงขั้นหามไปหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายอาทิตย์
นี้คือรอยแผลแรกในชีวิต
และด้วยแรงแค้นของตี๋ใหญ่ในครั้งนี้....ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขากลายเป็นคนละคน
หลังจากเลียแผลกายและใจหายแล้ว เขาเริ่มคุมลูกน้องและพ้องเพื่อน
ตั่งตนเป็นเป็นนักเลงใหญ่ออกไปลบรอยแค้น
จากกลุ่มนักเลงเล็กๆ
ของตี๋ใหญ่ เริ่มมีการขยับขยาย จากการปราบนักเลงเจ้าถิ่น เริ่มจากย่านมหานาค
มาบางขุนพรหม เทเวศร์ สามเสนฯลฯ....ใครที่มีเรื่องกับเขาต้องอักจนยอมมิโรราบ
จนชื่อของตี๋ใหญ่เริ่มเป็นที่รู้จักและเริ่มดังในย่านต่างๆ ดังกล่าวในเวลาต่อมา
ด้านพ่อแม่ตี๋ใหญ่มีหรือจะไม่รู้เรื่อง
โดยเฉพาะแม่ถึงกับออกปากปรึกษาผู้เป็นสามี แต่ก็ได้รับคำตอบว่าจะเอาอะไรไปสอนมัน
เด็กมันโตแล้ว สอนยากน่าอย่างน้อยมันก็หาเงินมาให้เรา อย่าไปกังวลอะไรมาก
เดี๋ยวมันจะจนแบบเรา
แต่กระนั้นในช่วงนี้ตี๋ใหญ่ยังล่องระหว่าง
ดำเนินสะดวกกับกรุงเทพฯ อยู่ตลอดเวลา เวลาตี๋ใหญ่มีเรื่องที่กรุงเทพฯแต่ละครั้งเขาจะมากบดานที่บ้านเกิด
จนกระทั่งในที่สุด ในงานวัดแห่งหนึ่งที่บ้าน เขาเกิดไปมีเรื่องกับคู่อริชื่อ “แช่ม” อาชีพคุมรถสองแถวที่เหม็นขี้หน้าตี๋ใหญ่มานาน
ถึงขั้นดวลมีดหน้าลานวัด
จนเป็นเหตุทำให้คู่อริบาดเจ็บสาหัสที่ไหล่ซ้าย จนเรื่องถึงตำรวจ
และนี้เป็นคดีอาญาคดีแรกของตี๋ใหญ่ที่เจ้าหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นั้นเองที่ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องหนี.............หนี
และหนี..............
ตี๋ใหญ่หนีคดีมาอยู่ต่างจังหวัดหลายแห่ง
หนึ่งในนั้นคือวัดหลักหกซึ่งเขาอยู่ใต้อาณัติของ “เสี่ยปิ่น” เจ้าพ่อท่าฉลอมเจ้าของซ่องโสเภณีและโรงน้ำชา
ที่นั่นเองทำให้ตี๋ใหญ่ได้เข้ามาเรียนรู้ธุรกิจค้ากามโดยไม่รู้ตัว
หน้าที่ของตี๋ใหญ่คือเป็นลูกน้องคอยกำราบนักท่องเที่ยวและลูกค่าชั้นเลวทีมีทุกวัน
เนื่องจากอาชีพนี้รุนแรง
และอันตรายเพราะลูกค้าบางคนก็มีอาวุธ นั่นทำให้ตี๋ใหญ่มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของปืนสักกระบอกเพื่อเอาไว้เป็นอาวุธประจำตัว.......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น