ตอนที่
3
อาศัยฟ้าแทนมุ้ง
อาศัยโรงแรมแทนบ้าน
อาศัยร้านอาหารแทนครัว
อาศัยโสเภณีแทนเมีย
และนี่คือตี๋ใหญ่......
สมัยก่อนนั้นประเทศไทยหาซื้ออาวุธปืนไม่ยากถ้ามีทรัพย์
โดยเฉพาะช่วงนั้นสงครามเวียดนาม เขมร ลาว พม่า
ยังระอุทำให้ตี๋ใหญ่ได้ปืนมาไม่ยากจากการช่วยเหลือของเพื่อน ก็ได้เป็นเจ้าของอาวุธปืน
11 มม. ไว้เป็นเพื่อนตาย และแน่นอนพอนักเลงมีปืนมันก็อยากลองของ
ตี๋ใหญ่เริ่มฝึกยิงไม่ว่าเป็นเป้านิ่ง หรือเป้าเคลื่อนไหว ศัตรูคู่อาฆาตของเขาเอง
ในไม่ช้าเมื่อตี๋ใหญ่เริ่มเชี่ยวชาญยิงปืนถึงขั้น
“แม่นราวจับวาง”
เขาเริ่มคิดว่าการเป็นนักเลงคุมซ่องมันไม่พอกิน เลยปรึกษากับเพื่อนเพื่อขอลาเสี่ยปิ่นเพื่อจะได้พ้นจากอาณัติไปสู่โลกอิสระที่ท้าทาย
แต่....ชีวิตอิสระ
มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะช่วงนั้นตี๋ใหญ่ขาดเงิน
ทำให้ต้องจำใจเป็นลูกวัดที่วัดกาหลงของ “หลวงพ่อสุด” เกจิอาจารย์ชื่อดัง ของจังหวัดสมุทรสาคร เป็นการชั่วคราว
ด้วยความเป็นหนุ่มกระทงพูดจาคมคาย อ่อนน้อมต่อผู้อาวุโส มีความขยัน
และชอบศึกษาพุทธาคม สวดมนต์เก่ง ทำให้พระอาจารย์หลวงพ่อสุดชมชอบตี๋ใหญ่มากๆ
จนมอบของขลังหลายอย่าง เช่นเหรียญ “เสือหมอบ” “เสือเผ่น” “ยันต์ตระกร้อ” และ “ตะกรุดโทน” ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นที่ปรารถนาของพวกนิยมชมชอบศาสตร์เร้นลับแขนงนี้
แต่.................สันดานก็คือสันดาน
วัดไม่ได้ช่วยให้จิตใจเลวๆ ของตี๋ใหญ่พัฒนาขึ้นเลย มือตี๋ใหญ่มีปืนมีของขลัง
ตี๋ใหญ่เริ่มตั้งตัวเป็นโจรเพราะมันง่ายดีปล้นทีเดียวก็ได้เงิน
เขาเริ่มรวบรวมลูกน้อง
โดยส่วนใหญ่เป็นหนุ่มดำเนินสะดวกที่ศรัทธาในตัวเขามาเป็นลูกน้อง
ทำให้กลายเป็นแก๊งอิทธิพลย่อยๆ ในดำเนินสะดวกในเวลาต่อมา
และแล้ววันประวัติศาสตร์
ของวงการตำรวจก็มาถึง และนี้คือผลงานเปิดตัวของตี๋ใหญ่แบบอหังการ.....
ปล้น
12 สิงหาคม พ.ศ.2516 ตี๋ใหญ่ในขณะนั้นอายุ 21 ปี และพรรคพวกเข้าไปปล้นครั้งแรกในชีวิต เหยื่อรายแรกคือ “นายอดิศักดิ์ พิษณุวัตร” เป็นเศรษฐีย่อยๆ คนหนึ่งในอำเภอดำเนินสะดวก
ตี๋ใหญ่กวาดเงินสด
ทองรูปพรรณ และทรัพย์สินมีค่า รวมมูลค่าหลายแสนบาทอย่างง่ายดาย
งานแรกถือว่าปล้นครั้งเดียวเท่านั้นไม่ได้ฆ่า หรือทำลายเจ้าทรัพย์แต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ประจำ
สภ.อ. ดำเนินสะดวกในสมัยนั้น
ใช้เวลาสืบสวนไม่นานก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของแก๊งค์ตี๋ใหญ่
แต่.................
มันสายเกินไปสำหรับตำรวจ
เพราะตี๋ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้านั้นรู้ตัวทัน
เลยกบดานอย่างเงียบเชียบโดยไร้ร่องรอยเรียบร้อย
เมื่อมีครั้งแรก
ก็ต้องมีครั้งต่อๆ มาแบบช่วยไม่ได้ คราวนี้ตี๋ใหญ่หวังจะพัฒนาการปล้นแบบก้าวกระโดด
เป้าหมายคือร้านแอนนี่ จิวเวอรี่ ร้านนี้ไม่ธรรมดา
เพราะมันตั้งในโรงแรมเอเชีย.....แน่นอนคนเข้าออกเพียบ และวงจรรักษาความปลอดภัยเป็นร้อย
ไม่รู้เพราะอะไรตี๋ใหญ่ถึงเลือกปล้นที่นี้
แต่ตี๋ใหญ่วางแผนอย่างดี เมื่อเวลามาถึงตอนสายปลายปี 2517 ตี๋ใหญ่นำลูกสมุน 5 คน
พร้อม “นางบุญปัน แก้วจันทร์ดี”
แต่งกายภูมิฐานทำทีไปชมอัญมณีภายในร้าน พอดีโอกาสทั้ง 6 สาวหนุ่มก็ปราดเข้าใช้อาวุธข่มขู่
กวาดเงินสดกับเครื่องประดับราคาสูงลงกระเป๋าเอกสารเท่าเวลาที่ตี๋ใหญ่กำหนดไว้ให้เพียง
5 นาที
เมื่อถึงเวลาตี๋ใหญ่ออกคำสั่งให้ถอย
ลูกสมุนทั้งหมดรีบหนีไปยังรถเก๋งเช่าตามแผน
แต่ระหว่างทางเกิดถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่มาขัดขวางทำให้เกิดการดวลปืนยิงสนั่นโรงแรม
หนึ่งในกลุ่มโจรได้สาดกระสุนปืนสังหารเจ้าหน้าที่ตาย 1 นาย และสามารถหลบหนีได้
ย่างเข้าต้นปี
14 มกราคม 2520 ตี๋ใหญ่ปล้นรถทัวร์ ของพื้นที่ สภ.อ.คลองหลวง และใช้ด้ามปืนตีศีรษะเจ้าทุกข์รายหนึ่งจนเลือดอาบหน้า
และจัดการปลดทรัพย์สินผู้โดยสารทั้งหมดอย่างอุกอาจกว่าครึ่งร้อยและหนีไปอย่างลอยนวล
แต่.................
เงินที่ได้จากการปล้นแต่ละครั้งตี๋ใหญ่มักใช้หมดเพียงไม่กี่วัน
นอกจากการนำเงินไปช่วยเหลือครอบครัวแล้ว ตี๋ใหญ่มักใช้เงินหมดไปกับสองสิ่งคือ “ผู้หญิง” และ “การพนัน” โดยเฉพาะ ไฮโล
ตี๋ใหญ่ชอบมันเป็นพิเศษ เข้าบ่อนแต่ละครั้งหมดเงินเป็นหมื่น
(ในขณะนั้นราคาทองคำมีราคาแค่พันบาทเท่านั้น)
ทำให้ตี๋ใหญ่ใช้เงินหมดไปอย่างรวดเร็วปานหว่านหรือพิมพ์เองได้
ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องออกไปปล้นแล้วปล้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ
ปล. ที่ไม่ได้ลงลำดับเหยื่อที่ตี๋ใหญ่ฆ่า
หรือลำดับเวลาที่ปล้น เหตุผลคือ เพราะไม่รู้
เนื่องจากว่าสมัยก่อนหนังสือพิมพ์ลงข่าวมั่วมาก
แบบถ้าเกิดคดีปล้นฆ่าที่ไหนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ตามมักโยงไปที่ตี๋ใหญ่ทุกครั้งไป
แบบว่าพี่แกมีส่วนผิดในคดีปล้นทั้งหมดในประเทศไทยในเวลานั้นว่างั้นเถอะ
ส่วนทางด้านตำรวจก็ไม่มีหลักฐานที่ว่าตี๋ใหญ่เป็นคนทำ
และเมื่อตี๋ใหญ่ตายก็ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาฆ่าคน-ปล้นใคร
กี่รายกันแน่เพราะเจ้าตัวตายไปแล้ว...............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น