วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คู คลักซ์ แคลน KKK (Ku Klux Klan) องค์กรล่าคนดำ

คู คลักซ์ แคลน KKK (Ku Klux Klan) องค์กรล่าคนดำ


คุณเคยอ่านการ์ตูณของ Naoki Urasawa ไหม
ผลงานของเขานั้น ในบ้านเรารู้จักกันดีครับ เช่นเรื่องมอนเตอร์ แก๊งนี้มีป่วน และล่าสุดเรื่อง อะตอม
แล้วมันเกี่ยวฆาตกรตรงไหน?
เออ.....รุ้ไหมครับว่า ฆาตกรที่ปรากฏในเรื่องทั้งสามเรื่องของ Naoki Urasawa ทั้งหมดล้วนเอามาจากฆาตกรที่มีชีวิตอยู่จริงในโลกของเราใบนี้ ในเรื่องมอนเตอร์ ก็มีฆาตกรปรากฏเยอะมากไปขอยกไว้ตอนหน้า(ถ้ามีโอกาส) ส่วนของแก๊งนี้มีป่วนก็ลัทธิโอมชิรีเกียว ส่วนของอะตอมก็ปรากฏองค์การหนึ่งที่ต่อต้านหุ่นยนต์ที่เอา คู คลักซ์ แคลน มาเป็นต้นแบบ

คู คลักซ์ แคลน คืออะไร?








คู คลักซ์ แคลน หรือเรียกย่อๆ ว่าแคลน เป็นขบวนการต่อต้านคนผิวดำที่ทรงอำนาจในอเมริกา(และของโลก) มีตำนานเก่าแก่ยิ่งกว่ากลุ่มก่อการร้ายกระจอกๆ ของบินลาเดนเสียอีก(คนเขียนเกลียดบินลาเดน) มันมีจุดกำเนิดปี ค.ศ. 1865 หลังจากสงครามเหนือใต้ในอเมริกาซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ ทำให้ทาสคนผิวดำได้รับการปลดปล่อยและเกิดการยอมรับในสิทธิ์ประชาชนของคนผิวดำว่าเท่าเทียมกับคนผิวขาว แต่อดีตกองทหารฝ่ายใต้ซึ่งไม่พอใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว คนผิวดำเป็นทาส คนผิวขาวคือนาย เฟ้ย
หลังสิ้นสุดสงคราม จึงได้รวมตัวกันแบบลับๆ ที่เมืองพัลลาสกีในเทนเนสซีขึ้นเพื่อสร้างสังคมซึ่งให้สิทธิ์พิเศษแก่คนผิวขาวขึ้นมาอีกครั้งในวันที่ 24 ธันวาคมซึ่งนี่ก็คือจุดเริ่มต้นขององค์การคนผิวขาวล่าผิวดำ คู คลักซ์ แคลน นี่เอง

ไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าที่มาของชื่อดังกล่าวคืออะไร บางเอกสารบอกว่ามาจากเสียงที่เกิดเมื่อบรรจุกระสุนลงในไรเฟิ่ลรุ่นเก่า หากที่มีชื่อเสียงที่สุดนั้นกล่าวว่ามาจาก (Kuklos-คายคลอส) ในภาษากรีกซึ่งหมายถึง"วงกลม"หรือ"พวกพ้อง"และ Clan ในภาษาเกลซึ่งหมายถึง"ชนเผ่า"

ปี 1867 พวกเขาก่อตั้งอาณาจักรล่องหนแห่งเมืองใต้ ในฤดูร้อนที่แนชวิล จำนวนสมาชิกของ คู คลักซ์ แคลน หรือ ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งที่นี่เองที่ คู คลักซ์ แคลน หรือ ถูกสร้างเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ และแต่งตั้งตำแหน่งตำแหน่งกลุ่มนักรบแคลน มีศักดิ์เป็นลำดับคือ แกรนด์วิซาร์ด แกรนด์ดรากอน แกรนด์ไทแทนส์ และแกรนด์ไซคลอปส์ โดยนาธาน เบดฟอร์ด ฟอร์เรสต์ อดีตนายพลใต้ เป็นแกนด์วิซาร์ดคนแรก

คู คลักซ์ แคลน ในช่วงแรกยังไม่มีการก่อความรุนแรงอะไรมากมาย เป้าหมายของพวกเขาเป็นเพียงการแสดงอำนาจให้คนผิวดำเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่าเสียมากกว่า คนผิวดำซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพมาหมาดๆในยุคนั้นยังด้อยความรู้และมีความงมงายอยู่มาก การข่มขู่ให้พวกเขาหวาดกลัวจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่สมาชิกของ คู คลักซ์ แคลน ใส่ชุดขาวมีหมวกคลุมศีรษะซึ่งเปิดให้เห็นแต่ตากับปากแล้วถือคบเพลิงเดินขบวนไปตามถนนในตอนกลางคืน เท่านี้เหล่าคนผิวดำก็พากันผวานึกว่าเป็นผี และไม่กล้าออกจากบ้านไปในยามค่ำคืนแล้ว(นัยว่าเพื่อข่มขู่คนผิวดำที่ไร้การศึกษาให้ตกใจและปกปิดหน้าตาของตน เพราะผิดกฎหมาย)

หากในไม่ช้า การเคลื่อนไหวของ คู คลักซ์ แคลน ก็ค่อยๆเพิ่มความรุนแรง โหดเหี้ยมขึ้น มีการรุมทำร้าย เผาบ้านและปล้นคนผิวสี ข่มขื่นสตรี พวกเขาใส่ชุดขาวเดินสำรวจไปทั่วเมือง เมื่อพบคนผิวดำออกมาเดินนอกบ้านนอกเวลาที่พวกเขากำหนด ก็จะลากมาเฆี่ยน ทั้งยังทำร้ายคนผิวดำที่ใช้สิทธิ์ของตัวเองหรือแม้แต่คนผิวขาวด้วยกันที่แสดงการสนับสนุนคนผิวดำ ซึ่งในบางครั้งการทำร้ายนี้รุนแรงไปจนกลายเป็นการแขวนคอก็มี



อำนาจของคู คลักซ์ แคลนถึงจุดสุดยอดในช่วงระหว่างปี 1865-1870 มีกองกำลังอันเกรียงไกร สามารถกำราบคนดำในเขตนอร์ทแคโรไลน่า เทนเนสซี และจอร์เจีย  ทำให้รัฐบาลพยายามประนีประนอมกับผู้นำกลุ่มฝั่งใต้ด้วยการแก้กฏหมาย อีกครั้ง ในปี 1871 โดนการเพิ่มบทลงโทษแก่องค์กรนอกกฎหมาย

ปี 1871 รัฐบาลประกาศให้ คู คลักซ์ แคลน เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายนอกกฏหมายซึ่งมีอันตรายต่อระบอบการปกครอง และทำการกวาดล้างให้ คู คลักซ์ แคลน ต้องแยกตัวไป และหายไปจากสังคม หากนั่นก็เป็นเพียงชั่วคราว......



แม้เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่สังคมอเมริกายังเหยียดสีผิวไมเลิก มีหลายรัฐที่มีกฎหมายที่ต่อต้นคนผิวดำ พวกเขาเป็นพลเมืองชั้นต่ำ ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ ชาวผิวดำถูกจำกัดที่อยู่ จำกัดการศึกษา รถเมล์ก็ขึ้นไม่ได้
ครั้งถึงปลายศตวรรษที่สิบเก้า ความกลัวของชนชั้นผิวขาวเริ่มปรากฏ เมื่อมีการอพยพชนผิวสีจากทั่วโลกหลายล้านคนมาในอเมริกา เช่น จีน ญี่ปุ่น จาไมก้า แอฟริกา ทำให้ชนผิวขาวเริ่มวิตกว่า พวกเขาจะตกงานและตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่

ทำให้ คู คลักซ์ แคลน ต้องกลับมาอีกครั้ง!

ปี 1915 ที่แอตแลนต้า บาทหลวงของศาสนาคริสต์ วิลเลียม เจ. ซิมมอนส์ อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าในความฝันให้ฟื้นฟู คู คลักซ์ แคลน ขึ้นอีกครั้ง ซิมอนส์ซึ่งเดิมมีแนวคิดนิยมคนผิวขาวอยู่แล้วจึงรวบรวมคน 34 คนและประกาศการก่อตั้ง คู คลักซ์ แคลน ขึ้นใหม่ แม้จะเป็นองค์กรเล็กๆ

คู คลักซ์ แคลน ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ ในความจริงแล้วมีแนวทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเดิมที่เคยหยุดอยู่แค่"การสั่งสอน" พวกซิมมอนส์ยึดหลักแบ่งชนชาติอย่างรุนแรงและมีเจตนารมณ์จะขจัดคนเชื้อชาติอื่นออกไปจากอเมริกาให้หมด ในขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจะจบไป สังคมกำลังอยู่ในสภาวะไม่แน่นอน คนที่ไม่มีที่พึ่งมากมายเข้ามาเอา คู คลักซ์ แคลน เป็นที่ยึดเหนี่ยวทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการเข้ามาของคนดังในสังคมที่เข้าร่วมกิจการประชาสัมพันธ์และการหาทุนเข้าองค์กร

คู คลักซ์ แคลน รุ่น 2 ได้รับการตอบรับดีจากคนผิวขาวอย่างมาก การเป็นคู คลักซ์ แคลน ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวชาวอเมริกัน นักธุรกิจและผู้นำเริ่มเปิดเผยว่าอยู่ในองค์กรนี้ เช่น ฮูโก แอลแบล็ก และมีนักกฎหมายระดับสูงที่ประกาศตนว่าเป็น คู คลักซ์ แคลน

ปี 1922 เฉพาะที่เท็กซัสก็มีคดีทำร้ายร่างกายกว่า 100 คดีที่เกี่ยวข้องกับ คู คลักซ์ แคลน



ปี 1923 เกิดคดีรุมทำร้ายที่โอกราโฮม่ากว่า 2300 คดีคู คลักซ์ แคลน จะส่งจดหมายขู่และ"ไล่ที่"ไปยังบ้านของคนผิวดำและคนผิวขาวซึ่งสนับสนุนคนผิวดำ เมื่อไม่ได้รับการปฏิบัติตามก็จะทำการเข้ารุมทำร้าย ในบรรดาวิธีการรุมทำร้าย (Lynch) เหล่านี้ ที่มีชื่อเสียงได้แก่"Tar & Feather" ซึ่งเป็นการเอาผู้เคราะห์ร้ายมาราดน้ำมันดินจนท่วมแล้วจับคลุกขนนกให้ติดทั่วตัว ก่อนจะแห่ไปตามถนน มีการเผาบ้านกันเป็นกิจวัตร บางครั้งรุนแรงถึงกับใช้น้ำกรดเพื่อประทับสัญลักษณ์ของพวกตนลงบนร่างของผู้เคราะห์ร้าย บ้างก็ตัดแขนขา บ้างก็เอายางรถยนต์ห้อยคอผู้เคราะห์ร้ายแล้วจุดไฟ บ้างก็จับมัดไปวางให้รถไฟทับ บ้างก็จับแขวนคอ

สิงหาคม 1925 พวก คู คลักซ์ แคลน เดินขบวนกว่า 40000 คน พวกเขาโบกธงชาติอเมริกัน และธงทหารฝ่ายใต้ แสดงถึงการคลั่งเผ่าพันธุ์

แน่นอนว่าสังคมก็ไม่ได้อยู่เฉย มีการประท้วงความรุนแรงซึ่งคู คลักซ์ แคลน  ก่อโดยสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆ ประกอบกับการแก่งแย่งกันเองภายใน คู คลักซ์ แคลน ทำให้ซิมมอนส์ถูกขับออกจากตำแหน่งผู้นำในปี 1923 เนื่องจากมีข่าวฉาวโฉ่เรื่องข่มขื่นและสังหารเด็กวัยรุ่น และคดียักยอกเงินกว่าหนึ่งล้านดอลล่าร์สหรัฐ คู คลักซ์ แคลน  ก็สูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนในที่สุด

ในปี 1930 การก่อตั้ง FBI ทำให้ คู คลักซ์ แคลน อ่อนแอ ตกต่ำลงเรื่อยๆ หากองค์กรนี้ก็ไม่หมดลมหายใจไปง่ายๆ ในรัฐอลาบาม่า จอร์เจีย มิสซิสซิปปี้ และอีกหลายรัฐ ยังมีคดีทำร้ายคนผิวดำเกิดขึ้นเป็นระยะ เป็นต้นว่า

วันที่ 18 สิงหาคม ปี 1940  พวก คู คลักซ์ แคลน ริ่มสมคบการนาซีใหม่ในอเมริกา และเดินขบวนร่วมกัน พวกแคลนร้องเพลงนาซี อย่างสนุกสนาน

ปี 1940 อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก พวกคู คลักซ์ แคลน ถูกมองว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ไม่ใช้องค์กรเพื่อชนชาวอเมริกันอีกต่อไป ผู้นำแคลนถึงกับล้มละลายในปี 1944 เพราะไม่มีเงินจ่ายภาษีจำนวน 17 ล้านบาท


ปี 1954 ศาลสูงได้ยกเลิกกฎร้อยปีของชาวใต้ที่ว่า คนดำไม่มีสิทธิเรียนโรงเรียนของคนผิวขาว
ในปี 1957 เกิดภาพประวัติศาสตร์ นักเรียนผิวดำ 3 คน เดินเข้าโรงเรียนลิตเติลร็อก รัฐอาร์คันซอส์ รัฐบาลส่งกำลังทหารหลายพันนายมาอารักขา ขณะที่ฝูงชนผิวขาวและพวกคู คลักซ์ แคลน ที่ยังเหลือรอดมองด้วยความเคียดแค้น อยากกินไส้ เอามือล้วงตับ
                ผลคือ เกิดคดี ลักพาตัว วางระเบิด เผาโบสถ์ และโรงเรียนผิวดำ จนถึงการฆาตกรรมในเวลาต่อมา

                ปี 1961 กลุ่ม คู คลักซ์ แคลน รุ่น 3 ถือกำเนิด ภายใต้การสนับสนุนประธานแคลนแห่งอเมริกา โรเบิร์ต เซลตัน เป็นนักการเมืองผู้ว่าแห่งรัฐมิสซิปปี้

                ปี 1962 เกิดการจลาจลโดยคนผิวขาว รัฐต้องส่งคนไปปราบ พวกแคลนตาย 2 ถูกจับกุมอีก 200 คน

                ปี 1963 การฆาตกรรมคนผิวดำกลับมาฮิตอีกครั้ง มีหลายคดีมีการล้มมวยคนดู เพราะคณะลูกขุนผิวขาว ยิ่งทำให้พวกคูแคลนอุอาจ ย่ามใจ ไม่กลัวผิด

ปี 1964 ประธานธิปดีจอห์นสันออกพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิพลเรือน มีการจัดกลุ่มคุ้มครองสิทธิพลเรือนโดยอาสาสมัครคนหนุ่มสาวทั่วประเทศ เพื่อชักชวนให้คนอื่นเห็นความเป็นมนุษย์ของคนผิวดำ
ต่อมาที่เมืองเนโชบา กลุ่มอาสาสมัคร 3 คน ประกอบด้วย มิกกี้ ชเวอร์เนอร์ อายุ 24 ผิวขาว จากนิวยอร์ก แอนดี้ กู๊ดแมน อายุ 20 ผิวขาวจากมหาวิทยาลัยควีนส์ และจิม ชาเนย์ เด็กผิวดำ ๔กจับกุมข้อหาขับรถเร็ว และเมื่อปล่อยตัวออกจากคุก ทั้งสามก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (แต่พบรถในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น)



รัฐบาลกลางเห็นคดีนี้ซ่อนเงื่อนเพราะตำรวจท้องถิ่นไม่ตั้งใจทำคดีนี้ จึงส่งเอฟบีไอมาช่วย แต่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากประชาชนและตำรวจท้องที่มากนัก พวกเขาต้องใช้เวลาถึง  6 สัปดาห์ จนพบร่างเด็กทั้งสามถูกฝังริมเขื่อนลึกลงไปถึง 16 ฟุต ทำให้สมาชิกแคลน 21 คนถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย นายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอถูกจับข้อหาร่วมกันฆ่าเด็กทั้งสามประชาชนทั่วประเทศถึงกับตะลึงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิดเสียเอง
แต่ อิ อิ นายอำเภอ และผู้ช่วยนายอำเภอนั่งฟังการพิจารณาคดีแบบสบายอารมณ์ เพราะคณะลูกขุนเป็นคนผิวขาวทั้งหมด จำเลย 21 คน ได้รับการประกันตัวทันที แม้จำเลยคนหนึ่งสารภาพ แต่ผู้พิพากษากลับบอกว่า
คำสารภาพเชื่อถือไม่ได้
แต่รัฐบาลกลางไม่ยอมจบเรื่อง คดีนี้เลยยืดเยื้อจนถึงปี 1967 ศาลประกาศให้ผู้ต้องหา 8 คนพ้นผิด สามคนถูกปล่อยเพราะลูกขุนทะเลาะกันเอง อีก 7 คนถูกลงโทษ แต่พ้นจากคุกเพราะเงินการประกันตัวคนละ 5000 เหรียญ

มวยล้มคนดู
23 มีนาคม 1965 นางวิโอลา ลุยโซ สตรีผิวขาวถูกยิงตายในขณะเข้าร่วมกิจกรรมกับคนผิวดำ
ประธานาธิบดีจอห์นสันถึงขั้นประกาศทำสงครามกับพวกคูคลักซ์แคลน จึงส่งเอฟบีไอ เข้าจัดการ และเป็นฝ่ายชนะ ในปี 1967 สภาผู้แทนสามารถนำตัวผู้นำเข้าคุกได้ในข้อหาพยายามฆ่าและใช้เงินทุนทำกิจกรรมน่าสงสัย

ในปี 1972 นายจอร์จ วอลเลซ ผุ้ว่าการรัฐอลาบานา ถูกลอบสังหารขณะกล่าวปราศรับ คนยิงเป็นคนผิวขาวที่จงชังวอลเลซที่เป็นพันธมิตรต่อต้าน คูแคลน เขาไม่ตายแต่อัมพาตตลอดชีวิต

หลังจากนั้นพวกแคลนก็หายสาบสูญไปจากอเมริกา กลายเป็นองค์กรเล็กๆ ที่สังคมรังเกียจ(เฉพาะคนผิวดำ) แต่กระนั้นแม้เป็นองค์กรเล็กๆ แต่ฤทธิ์ไม่ใช่เล่น จนถึงปัจจุบันที่ผ่านมา ยังมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายกับคนผิวดำอยู่บ่อย ๆ และตำรวจไม่สามารถจับผู้ทำผิดไม่ได้

จนบัดนี้ กลุ่ม คู คลักซ์ แคลน ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในสังคมคนผิวขาวและรอเวลาที่จะกลับมาอีกครั้ง




ที่มา : Facebook Fan Page / โรคจิต แบบมีรสนิยม
เรียบเรียงโดย : รู้ไว้ซะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น